เทศน์พระ

กลิ่นศีล

๑ ม.ค. ๒๕๖๑

 

กลิ่นศีล
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑ มกราคมพ.ศ. ๒๕๖๑
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรม เพราะเราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราเป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราเป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหมสมณสารูปสมณสารูปเราต้องแสดงให้คฤหัสถ์เขาเห็นว่าเราเป็นพระๆไง ถ้าเราเป็นพระ พระเรามีศีล ๒๒๗ ถ้าพระเราศีล๒๒๗ เห็นไหมเราไม่ใช้ชีวิตแบบฆราวาสเพราะฆราวาสเขาเห็นไหมการสึกไปแล้วเป็นฆราวาสเขาใช้ชีวิตในทางฆราวาสแล้วชีวิตในทางฆราวาส เห็นไหม วันนี้วันปีใหม่ วันปีใหม่เขาแสวงหาบุญกุศลของเขาเพื่อทั้งปีให้ชีวิตนี้ราบรื่น ให้ชีวิตนี้ดีงาม ให้ทำหน้าที่การงานประสบความสำเร็จประสบความสำเร็จทางโลกไง

แต่เราเป็นพระ เราเป็นพระ เราเป็นนักรบ ถ้าเป็นนักรบ เราจะรบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน เราไม่ไปรบกับใครหรอกเราอาศัยโลกเขาอยู่ เห็นไหมดูเวลาหลวงตาท่านพูด เวลาท่านสิ้นกิเลสไปแล้วเห็นไหมธรรมะเข้าได้กับทุกๆ สิ่ง ทุกเม็ดหินเม็ดทรายไม่มีสิ่งใดมาขัดแย้งธรรมเลยธรรมะนี่ละเอียดลึกซึ้งเข้าไปได้ทุกอณูของวัตถุต่างๆมันเข้าได้หมดถ้ามันเข้าได้หมดเห็นไหมเพราะอะไรเพราะเราเป็นธรรม ถ้าเราเป็นธรรมนะเขาจะแสดงสิ่งใด เขาทำสิ่งใดนั่นเป็นเรื่องของเขา นั่นมันเรื่องของฆราวาสเขาเรื่องของโลกเขา 

เราอยู่กับโลกเขาๆเราก็อาศัยเขาอยู่ อาศัยเขาอยู่ เราก็เกิดมาจากโลกไง เรามาจากฆราวาสเห็นภัยในวัฏสงสาร เรามาบวชเป็นพระถ้าบวชเป็นพระขึ้นมา บวชเป็นพระเพื่อจะแสวงหาสัจธรรมความจริง ถ้าแสวงหาสัจธรรมความจริงเพื่อหัวใจของเราไง เพื่อความรู้จริงในใจของเรา ถ้าเรารู้จริงในใจของเราแล้ว สิ่งนี้เป็นหน้าที่การงานของเรา ถ้าหน้าที่การงานของเรา เราทำประสบความสำเร็จแล้วนั่นน่ะคือผลจากการกระทำของเรา เห็นไหม อัตตาหิอัตตโน นาโถตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนถ้ามีคุณธรรมในหัวใจแล้ว มันจะมีสิ่งใดที่มันจะขัดมันจะแย้งมันจะมีสิ่งใดที่ไปกระเทือนโลกเขา ไม่กระเทือนโลกเขาหรอก มันสะเทือนอย่างเดียวคือสะเทือนกิเลสของคน คนมันรับไม่ได้ ถ้าคนมันรับไม่ได้แล้วมันเห็นสิ่งนั้นแล้วมันขัดหูขัดตา ถ้าขัดหูขัดตา มันก็ไปขัดกับกิเลสไง 

แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆความจริงในใจของเราไง ถ้าความจริงในใจของเราเห็นไหมในเมื่อตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนมีคุณธรรมในหัวใจของตนตนมีความสุขในใจของตนตนชำระล้างกิเลสในใจของตน ถ้าในใจกิเลสของตนมันสิ้นไปแล้ว มันจะมีสิ่งใดที่จะมากีดมาขวางในใจของตนถ้าไม่กีดไม่ขวางในใจของตน มันจะไปกีดไปขวางโลกได้ยังไง มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันจะไปกีดขวางโลก เป็นไปไม่ได้ เราอาศัยโลกเขาอยู่ไงสิ่งนั้นๆ เป็นเรื่องของโลกเขา แต่เรื่องความเป็นจริงเรื่องในหัวใจของเราใช่ไหมนี่ที่เราจะกระทำกระทำแบบนี้ไง 

ถ้าเรากระทำแบบนี้เห็นไหม มันก็ต้องมีศีลมีธรรมคำว่ามีศีลมีธรรมขึ้นมา เริ่มต้นจากฆราวาสเขา เห็นไหม วันปีใหม่ วันพระวันโกนเขาแสวงหาแสวงหาเพื่อประโยชน์กับเขา เพื่อเป็นคุณธรรมของเขา เขาแสวงหานะ ใครไม่มีวัตถุปัจจัยที่จะถวายทานเราก็อนุโมทนาไปกับเขา เรามีวัฒนธรรมวัฒนธรรมของชาวพุทธไง นี่ไงไปวัดไปวาเห็นไหม อเสวนา จพาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนาเราไม่คบคนพาล คนที่ไปวัดไปวา โดยเปลือกนอกดูว่าเป็นบัณฑิต ถ้าเป็นบัณฑิตแล้วเราแสวงหาสิ่งนั้น เราอนุโมทนาไปกับเขา คืออนุโมทนาเห็นเขาทำคุณงามความดีว่าดีเห็นถูกต้องชอบธรรม เขาดีก็ว่าดี เห็นไหม ถ้าเขากีดเขาขวางเขาทำเพื่อตัวตนของเขา ไอ้นั่นเราก็หลบหลีกของเรา เราไม่อนุโมทนาไปกับเขา เราไม่สนใจสิ่งที่เป็นโทษเป็นภัยที่เราจะไปเป็นสายบุญสายกรรมกับเขา เราจะมีสายบุญสายกรรมกับสิ่งที่เป็นธรรม เห็นไหม สิ่งที่เป็นธรรม ถ้าไปวัดไปวาเห็นไหม ก็ไปเพื่อแสวงหาสัจจะความจริงของตน ทั้งๆ ตัวเองไม่มีวัตถุสิ่งใดเพื่อจะเสียสละ แต่เราก็มีน้ำใจ เราก็มีหัวใจ ถ้ามีหัวใจ การกระทำมันต้องมีอย่างนั้นเห็นไหม 

นี่นักพรต เวลาปฏิบัติเขาต้องมีศีล กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมมันหอมทวนลมกลิ่นของดอกไม้กลิ่นของกลิ่นหอมเห็นไหมมันไปตามกระแสลมทั้งนั้นสิ่งที่กระแสลมมันพัดไป พัดกลิ่นหอม หอมต่างๆ หอมด้วยสารเคมี หอมด้วยเกสรดอกไม้ มันหอมไปตามลมทั้งนั้น เมื่อมันไปตามลม ลมพัดมันก็มีกลิ่นไปแต่กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมสิกลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมนี่มีคุณค่า กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมมีคุณค่ามันมีตั้งแต่เราเห็นไหม ดูสิกายนี่มันเป็นของบูดเน่าทั้งนั้น สิ่งไหนที่มีคุณค่าสวยงามทั้งนั้น ลองเอามานุ่งห่มสิ มันต้องซักต้องล้างทั้งนั้น มันมีเหงื่อมีไคลมีกลิ่นเหม็นร่างกายนี่มันเป็นของเน่าบูดมันมีแต่กลิ่นเหม็นทั้งนั้น เอาสิ่งใดมาใช้สอยในร่างกายนี้ ผัสสะแล้วมันจะมีแต่ไขมัน มีแต่สิ่งสกปรกโสโครกร่างกายมันเป็นอย่างนั้น 

สิ่งที่เราพิจารณาเห็นไหม ดูสิ เวลาเขาภาวนาๆ ถ้าเขาภาวนาขึ้นมา ถ้าหัวใจเขาเป็นธรรมๆ ขึ้นมา เห็นไหมกลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมของเขามันหอมทวนลมไป แต่กลิ่นของกิเลสตัณหาความทะยานอยากเหม็น! เน่า! กลิ่นเหม็นเน่าเห็นไหม ดูสิ สิ่งที่กลิ่นเหม็นเน่าอย่างนี้มันเข้ากันโดยธาตุเวลาธาตุๆ ของใคร ธาตุของใคร แมลงวันเห็นไหม ที่ไหนมีสัตว์ตายที่ไหนมีของเน่าบูดเห็นไหม โอ้โห มันหึ่งๆ เต็มไปหมดเลย นั่นน่ะแมลงวันทั้งนั้น แมลงวันมันชอบของเหม็นมันโดยสัญชาตญาณของมัน นี่ไง ถ้ากลิ่นเน่า กลิ่นของเสีย กลิ่นเน่าเหม็นเห็นไหม นั่นน่ะแมลงวันมันชอบ แต่แมลงผึ้งมันชอบกลิ่นเกสร กลิ่นเกสรเห็นไหม ดูสิ มันได้กลิ่นของมันเห็นไหม มันบินของมัน มันไปหาเกสรเพื่อมาทำน้ำผึ้งของมันถ้ากลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมมันเป็นแบบนั้นผึ้งมันทิ้งสารเคมีของมันไว้ให้พรรคพวกมันไปขนมาที่รังของมันเห็นไหมนี่ไง กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมมันเป็นประโยชน์

ถ้ากลิ่นเน่ากลิ่นเหม็นมันกลิ่นของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วเราบวชมา เราบวชมาเราเป็นนักพรต เราเป็นนักพรตเรามีศีลมีธรรมหรือไม่ถ้าเรามีศีลมีธรรมมันต้องมีสัตย์ มีสัตย์ มีสัจจะ มีความจริง ถ้ามีสัจจะความจริงเห็นไหม กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรม ถ้ากลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมมันเข้าหมู่เข้าคณะเห็นไหม ดูสิ คนแสวงหาทั้งนั้นใครบ้างไม่ต้องการของดีทุกคนปรารถนาความดีทั้งนั้น ทุกคนปรารถนาของดีถ้าปรารถนาของดีเขาก็แสวงหาของดีตามความสามารถของเขา ถ้าคนมีความสามารถมากน้อยแค่ไหนเขาก็แสวงหาของดีของเขา ถ้าสิ่งของของเขาเขาแสวงหาของเขา เพื่อประโยชน์กับเขา มันก็เข้ากันโดยธาตุเห็นไหม 

ดูพระเราพระเราเนี่ยเวลาวิเวกไปเวลาธุดงค์ไปเห็นไหม ถ้าขอนิสัยๆ ให้ดูกัน๗ วัน ถ้ามันเข้ากันได้ถึงขอนิสัย ถ้าเข้ากันไม่ได้ให้เก็บของไป เขาให้สังเกตเพราะอะไร เพราะมันจริตนิสัย ความพอใจและความไม่พอใจ ความจริตนิสัยมันตรงกันหรือไม่ ถ้าไม่ตรงกัน เขาก็ตามสิทธิ์ของเขา มันเป็นสิทธิ์ของเขา 

เราบวชมาเห็นไหม พระบวชมาแล้วเหมือนนก มีหางกับปีก เช้าขึ้นมาเห็นไหมบิณฑบาตบิณฑบาตขึ้นมาแล้วจัดอาหารใส่บาตรแล้วพิจารณาแล้วฉันอาหาร ฉันอาหารเสร็จแล้วเก็บล้างแล้วเก็บบริขารแล้วเดินไป เก็บบริขารแล้ววิเวกต่อไป เหมือนกับนก มีอิสรภาพ จะทำยังไงก็ได้ แล้วแต่สิทธิ์ของเขาถ้าเป็นสิทธิ์ของเขา นั่นมันสิทธิ์ของเขา ถ้าเขาไม่เห็นด้วยกับเรา เขาจะลาไปนั่นเป็นเรื่องของเขา นั่นมันสิทธิเสรีภาพ 

นี่เราบวชมาเห็นไหมบวชมาเพื่อความมีอิสรภาพ เพื่อสิทธิเสรีภาพมันไม่มีใครเป็นขี้ข้าใคร ไม่มีใครต้องยอมจำนนใคร ไม่มีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสรีภาพเปิดให้กว้างหมดล่ะเพียงแต่ตรงจริตตรงนิสัยเราหรือไม่ ถ้าตรงจริตตรงนิสัยเรา เราก็ขอนิสัย ขอนิสัยเห็นไหม ขอนิสัยก็เป็นการประกาศกันว่าเราจะยอมรับกัน เห็นไหม ผู้ที่เป็นสัทธิวิหาริกเห็นไหม เราก็ขอฝึกหัด ถ้าฝึกหัดแล้วมีสิ่งใดคอยแนะนำผม ผู้ที่เป็นผู้ให้นิสัยเป็นอาจารย์เห็นไหม สิ่งใดมันเป็นประโยชน์เขาเกื้อกูลกัน นี่ในการขอนิสัยถ้าขอนิสัยแล้วนะ ถ้ามันเป็นไป มันเป็นสิทธิเป็นเสรีภาพมันเป็นสิทธิของบุคคล มันเป็นสิทธิของเขาอยู่แล้ว

แต่เวลาพระเรา เวลาก่อนที่จะออกหาครูบาอาจารย์เห็นไหม ดูสิเวลาหลวงตาเรียนจบมหาฯ๓ประโยคแล้วเราจะออกปฏิบัติ เราจะออกปฏิบัติ แล้วถ้าจะปฏิบัติศึกษามาแล้วมีความรู้ มีความรู้ขึ้นมาเห็นไหมทั้งๆ ที่เวลาจะบวชเห็นไหม พุทโธๆ กับอุปัชฌาย์ จิตสงบลงได้ ท่องพุทโธๆ แต่เวลาไปศึกษาเล่าเรียนมาแล้วเห็นไหม มันก็ดูจิตเฉยๆ ไม่มีคำบริกรรมเวลามันเสื่อมเสื่อมหมดเลยใจนี่ร้อนนักแล้วจะมีใครแก้เวลาไปหาหลวงปู่มั่นเห็นไหม จะไปหาใคร ใครก็แก้ไม่ได้หรอกเพราะคนภาวนาไม่เป็นมันก็ชี้เข้ารกเข้าพงไปหมด มันไม่ชี้เข้าสู่หัวใจหรอก มันชี้ มันชี้ออกทั้งนั้น ชี้ออกทางวิชาการ ชี้ออกจากจินตนาการชี้ออกจากสังคมที่เชื่อถือชี้ออกจากวิธีที่คนเขาปฏิบัติกันเยอะๆ นั่น ชี้ออกไปหมดเลยไม่มีใครชี้เข้ามาสู่ใจของตนเลย 

เวลาไปหาหลวงปู่มั่นมหาฯ มหาฯเป็นถึงมหาฯนะ ศึกษามาศึกษาความรู้มาก็มาก ความรู้เป็นธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาธุ เราเก็บไว้ก่อนเพราะ เห็นไหมความรู้ขนาดนี้ยังช่วยตัวเองไม่ได้เห็นไหมจิตของคนมันเหมือนเด็กน้อยเด็กน้อยมันต้องมีอาหารของมันดูสิ เราเลี้ยงเด็กเห็นไหม เด็กเวลามันกินอิ่มนอนอุ่น มันก็เล่นของมันตามประสามัน เวลามันหิวขึ้นมามันก็หาแต่พี่เลี้ยงมันทั้งนั้น หาพ่อหาแม่ สมัยโบราณก็หาหัวอกของแม่นั่นแหละ มันจะกินนมอย่างเดียวนั่นแหละ 

นี่ก็เหมือนกัน จิตของเรานะ มันก็เหมือนเด็กน้อยถ้าเด็กน้อย เห็นไหม มันออกเที่ยวเล่น มันดื้อมันดึงของมันเห็นไหม ปล่อยมันไป เตรียมอาหารมันไว้ให้พุทโธๆ ไว้ถ้าพุทโธไว้ ถ้ามันหิวมันกระหายแล้วมันต้องกลับมาหาอาหารมันเองให้กำหนดพุทโธๆ ไว้ ให้กำหนดพุทโธๆ ไว้อย่าส่งออกไปไม่ส่งออกไปตามกระแสโลกไม่ส่งออกไปตามความเชื่อของใคร ไม่ส่งออกไปความเห็นของใคร ไม่ส่งออกไปที่เขาปฏิบัติกันเยอะๆ ไม่ส่งออกไปที่เขาพอใจ ไม่ส่งออกไปทั้งสิ้นให้กลับมาพุทโธๆ ไว้นะท่านบอกว่าเวลามันกลับมานะ มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

นี่ไง แต่ความเข้าใจของเราไง เราเป็นนักปราชญ์เรามีความรู้ เราพยายามกระทำของเรา เราพยายามสร้างเหตุการณ์ของเรา เราพยายามรักษาใจให้สงบให้ได้เรามีความรู้เยอะมาก นี่ไงนั่นกลิ่นของกิเลส มันเน่าเหม็น มันเหม็นคลุ้งไปทั่ว ของเหม็นไม่มีใครต้องการหรอกแต่พวกแมลงวันมันชอบ เพราะแมลงวันไม่มีศักยภาพแมลงวันอยู่ที่ไหนมีกลิ่นเหม็น มันบินตามไปที่กลิ่นนั้น แล้วก็ไปตอมกันทั้งตัวเลย สัตว์ตายตัวหนึ่งไม่มีที่ว่างเลยแมลงวันมันตอมเต็มไปหมดเลย มันแย่งที่กันเลยนั่นน่ะนี่กลิ่นเหม็น 

แต่กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมสิ กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมมันต้องพยายามของมัน แมลงผึ้งมันไปหาของมันมาหาของมันมาเสร็จแล้วเอากลับมารวงรังของมันเห็นไหมมาทำจนเป็นน้ำผึ้ง จนเป็นประโยชน์เอาไว้เลี้ยงตัวอ่อนเอาไว้เป็นอาหารของตัวเอง เอาไว้เพื่อเป็นประโยชน์กับตนเห็นไหมแล้วมนุษย์ผู้ที่มีปัญญาเห็นถึงน้ำผึ้งนั้น เอามาทำเป็นอาหารได้ เอามาเป็นยาบำรุงกำลังได้ เอามาต่างๆได้ 

มนุษย์ยังต้องขอกินด้วยเลย นี่กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรม กลิ่นของความสัตย์ มีสัตย์มีสัจจะ โธ่ใครไม่ปรารถนา มันเป็นความปรารถนาของคนอยู่แล้ว มันเป็นความปรารถนาของสัตว์ มันเป็นความปรารถนาทั้งนั้น โดยข้อเท็จจริง กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรม กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรม ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ถ้าทำความดีมันเป็นความดีวันยังค่ำ จะทำที่ไหน จะทำใต้ดิน ทำใต้บาดาล จะทำที่ไหนก็เป็นความดีทั้งนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์องค์เดียวเท่านั้น เทศน์ธรรมจักรฯ เทวดาส่งเป็นชั้นๆ ขึ้นไปเลย มันเป็นความจริง 

ถ้าไม่เป็นความจริงมันเหม็นเน่าของเน่า! ไม่มีใครต้องการหรอก ใครต้องการของเน่า แต่แมลงวันมันชอบ คิดว่าเน่าๆ เหม็นๆ ดีเพราะไม่มีใครรู้เพราะแมลงวันมันชอบ อยู่ในสังคมแมลงวันด้วยกัน ถ้าสังคมแมลงวันเป็นอย่างนั้นไม่รู้จักผึ้งเลยเหรอ ไม่รู้จักสังคมเลยเหรอ ไม่รู้จักโลกต้องการอะไรเลยเหรอถ้ามันรู้จักโลกต้องการอะไรเลย มันก็ต้องดัดแปลงตัวมันบ้าง ตัวเองมีสิ่งใดที่ขาดตกบกพร่อง ตัวเองมีอะไรที่หน้าไหว้หลังหลอกปลิ้นปล้อน เน่าเหม็น แล้วมันเหม็นในตัวมันเอง เหม็นคลุ้งขจรขจายไปทั่วแล้วยังสำคัญตนว่าตัวเองขาวสะอาด ขาวสะอาดแล้วมาจากไหน 

ขาวสะอาดมันต้องเป็นการพิสูจน์ทางสัจจะความจริงนู่น สัจจะความจริงมันเป็นสัจจะความจริง สัจจะความจริงนั้นมันเกิดจากไหน นี่ไง ที่เราเกิดมาเห็นไหม เกิดมาโดยสมมติ เกิดมาเป็นมนุษย์มนุษย์มีกายกับใจ เรามีร่างกายความเป็นมนุษย์นี่ศักยภาพในการเกิด เพราะมันมีความเป็นมนุษย์เห็นไหมความดีความชั่วมันก็เผาลนในใจนั่น แต่เวลาตายไปแล้วมันลงไปทั้งนั้น ถ้าจิตมันเทวทัตธรณีสูบสดๆร้อนๆ เลย จิตตคหบดีตายขึ้นไป รถเทียมม้าเทวดามารับเลย แล้วนั่นเวลาตายไปแล้วมันไปตามนั้น แต่ตอนนี้ยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่นี่เพราะสถานะความเป็นมนุษย์ไงวันไหนตายตายเมื่อไรมันจะเห็นความจริงถ้าเห็นความจริงวันนั้นแล้วมันจะรู้ว่าจริงหรือชั่ว เวลาสถานะความเป็นมนุษย์ลืมตัว พอเป็นมนุษย์ ได้ห่มผ้ากาสาวพัสตร์เห็นประชาชนยกย่องสรรเสริญ เห็นเขายกมือไหว้คิดว่าเขาจะเชื่อฟัง ใครเขาจะไปฟัง 

เขาหาของดี ถ้าเขาหาของดี ของดีเป็นความดีความดีไม่ต้องโฆษณาชวนเชื่อความดีมันเป็นความดีวันยังค่ำไอ้ไม่ดีอยากดีนี่สิ ไอ้ไม่มีดีอวดดีนี่สิ นั่นล่ะมันเน่า ความเน่า ความเน่านั้น ไม่ใช่ว่าความเน่านั้นมันจะเป็นที่รังเกียจความเน่านั้นเป็นสิ่งปรารถนาของแมลงวัน ไอ้เน่าบูดนั่นน่ะ เราก็เห็นใช่ไหม คนดีคนชั่ว ทำไมคนชั่วทำไมคนล้อมหน้าล้อมหลัง ทำไมคนชั่วทำไมมีคนส่งเสริม ทำไมคนชั่วมีแต่คนนับหน้าถือตาทำไมความชั่วมันเป็นอย่างนั้น 

เวลาความดี ความดีอยู่ในป่าในเขาครูบาอาจารย์ของเรานะอดๆอยากๆ อดๆอยากๆ มันเป็นความรื่นเริงในธรรม ในธรรมของท่าน ท่านภูมิใจในตัวของท่าน เพราะอะไร เพราะท่านเป็นเอกบุรุษ เป็นบุรุษอาชาไนย เลือกเฟ้นอะไรดีอะไรชั่ว ชั่วไม่เอา ชั่วไม่ทำ ชั่วพยายามหลีกเร้น ทีนี้ชั่วไม่ทำขึ้นมา ธรรมดาแมลงวันมันเยอะ ลองมีสัตว์ตายที่ไหนสิกลิ่นมันไป ขจรขจายไปทั่ว มันลากกันมาเลยนี่ก็เหมือนกันสังคมเขาชอบกันอย่างนั้นชอบอะไรที่ง่ายดาย ชอบอะไรที่จุนเจือกัน ชอบอย่างนั้น แต่ความจริงไม่ชอบเพราะความจริงมันขัดกับกิเลสความจริงมันขัดกับความพอใจของเรา ไปไหนอยากให้คนนับหน้าถือตา ไปไหนอยากให้คนต้อนรับ ไปไหน... 

มันไม่จำเป็นเลยครูบาอาจารย์เรามีแต่หลีกเร้นนะ เวลาหลวงตาท่านพูด สมัยท่านยังเป็นพระเล็กเณรน้อย ท่านจะไปไหนสะดวกสบายมาก ไม่มีใครรู้จัก ไปสืบไปดูไปค้นหมด ท่านพูดเอง แม้แต่ในวงปริยัติท่านเข้าได้ทุกวัด ในวงปฏิบัติท่านเข้าได้ทุกวัด เพราะยังไม่มีใครรู้จักแต่พอเริ่มมีคนรู้จักขึ้น ลงรถไม่ได้ ลงรถคนล้อมหน้าล้อมหลัง 

นี่ก็เหมือนกัน เวลาไปไปคนเดียวเวลาไปมันต้องการอะไรเวลาใครยังไม่รู้จักเห็นไหม เราก็ศึกษาค้นคว้าของเรา เราทำเพื่อประโยชน์กับเราถ้าเรายังทำของเราได้แล้วถ้ามันจะมีชื่อเสียง มีชื่อเสียงมาจากอะไรล่ะ นี่กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมไง ถ้ามันมีกลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมไปหมกไว้ที่ไหนไปพยายามปิดกั้นอยู่ที่ไหน มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันขจรขจายไปโดยสัจธรรม ถ้าสัจธรรมอันนั้นนั่นความจริงแล้วความจริงมันเป็นแมลงผึ้งด้วย เป็นแมลงผึ้งไม่ใช่แมลงวัน 

แมลงผึ้งเขาแสวงหาเขาต้องการของเขา มันเป็นประโยชน์กับเขา แล้วมันเป็นประโยชน์แล้วเห็นไหม ดูมนุษย์สิ มนุษย์ที่ฉลาดเห็นไหมมนุษย์ ดูๆ สิ่งเขาอยู่ในที่กันดาร เขามีลังเขาเอาไม้ต่างๆไปทำลังไว้เพื่อให้ผึ้งมันอยู่อาศัย ผึ้งก็ได้อยู่อาศัยด้วยเวลาเขามีความจำเป็นต้องใช้สอย เขาก็ได้น้ำผึ้งนั้นมาจุนเจือเขาด้วยเขาทำกันเห็นไหม แม้แต่มนุษย์เขายังต้องมาอาศัยมนุษย์ยังต้องพึ่งพาเลยพึ่งพาเพื่อเป็นพลังงาน เพื่อเป็นอาหารของเขา สิ่งที่คนปรารถนามันเป็นความจริงวันยังค่ำ ความเป็นจริงทั้งชีวิตเขา ความจริงทั้งเป็นเภสัชกับเขา เป็นความเป็นจริงเพื่อมันเป็นอุดมการณ์ของเขา ถ้าเป็นความจริง ความจริงก็เป็นความจริงวันยังค่ำ 

แต่ความเน่าเหม็น เหม็นคลุ้งไปทั่ว แล้วยังคิดว่ามันเป็นจริงๆ อยู่วันยังค่ำนั่นแหละ มันเหม็นคลุ้ง กลิ่นกิเลส กลิ่นตัณหา กลิ่นทะยานอยากกลิ่นความเหม็นเน่า เราจริงต้องจริงอย่างนี้สิ นี่ไง เป็นสมณะเราเป็นพระศีล๒๒๗ มันอัตโนมัติตั้งแต่วันบวชนะ แล้วมันอัตโนมัติตั้งแต่วันบวชแล้วการดำรงชีพของเราเห็นไหม ใกล้เกลือกินด่าง เวลาใกล้อะไรคุ้นเคยอะไรเราก็อยู่กันอย่างนั้นหมักหมมอยู่อย่างนั้น นี่ก็เหมือนกันถือว่าเป็นพระว่าเราเป็นพระจะพูดอะไรเขาก็เชื่อ แล้วพูดไปนี่จริงหรือเปล่าที่พูดมาจริงเหรอ ถ้าไม่จริงหลอกตัวเองแล้ว หลอกตัวเองแล้วยังพยายามจะหลอกคนอื่นอีกเหรอ คิดว่าคนอื่นเขาไม่มีสมองใช่ไหมคิดว่าคนอื่นเขาโง่เหรอ 

อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ไปทั่วนะ แม้แต่พระโพธิสัตว์ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่พยากรณ์ เขายังมีโอกาสสละความเป็นพระโพธิสัตว์ได้ ถ้าวันไหนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพยากรณ์แล้วว่าอนาคตวงศ์เขาจะได้เกิดเป็นพระพุทธเจ้า ชื่อว่านั้น ชื่อว่าอย่างนั้น นั่นน่ะพยากรณ์ไปถึงข้างหน้าโน่น 

แต่ แต่ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดมเราสิ เทวทัตทิ่มตำขนาดไหน เวลากระทำนะ ท่านยังไม่พูดเลย ไม่พูด ไม่ทำให้สะเทือน คิดว่าท่านไม่รู้เหรอทำไมท่านจะไม่รู้ บุพเพนิวาสานุสสติญาณจุตูปปาตญาณอาสวักยญาณในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อนาคตังสญาณมันแจ่มแจ้งอยู่แล้ว แต่มันไม่เป็นประโยชน์ไง มันไม่เป็นประโยชน์กับคนหน้าด้าน ใจมันด้าน มันชอบของเหม็นแล้วก็ปลิ้นปล้อน คิดว่าคนอื่นเขาไม่รู้ เขารู้อยู่เต็มหัวอก แต่ในเมื่อมันเป็นสังฆะ มันเป็นสงฆ์ เห็นไหมในหมู่สงฆ์อาบัติหนักของพระ เอาไปพูดข้างนอกเป็นอาบัติ อาบัติหนักของพระไง 

นี่ไง ในสังคมของชาวพุทธ เขาบอกว่าในแวดวงดงขมิ้น มันจะมีเรื่องเป็นเกร็ดให้เห็นมหาศาลเวลาพูดกันแล้วเขาเอาออกไปเขียนหนังสือขายกัน แต่ความเป็นพระๆเขาเก็บไว้ภายใน เพราะอะไร ดูสิ เวลาชาววัชชีบุตรเวลาทะเลาะเบาะแว้งกันเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พระสารีบุตรให้ไล่ออกไป นี่ไง สิ่งที่ว่าที่นั่นเขาเป็นนักเลง เขาจะมีอิทธิพล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าให้เอาพระไปมากๆ ทำอุกเขปนียกรรม คือว่าไล่ออกหมดไล่ออกจากที่นั่นไปให้ทั่ว ไม่ให้อยู่ในที่นั้นเพราะอยู่ในที่นั้นแล้วสร้างอิทธิพล พอสร้างอิทธิพลขึ้นมาแล้วก็ไปแสวงหาผลประโยชน์กัน 

นี่ไง แล้วบวชมาทำไมเขาบวชมาเขาบวชมาเสียสละดูสิ พระกัสสปะดูเวลาพระรัฐปาล ลูกเศรษฐีทั้งนั้น เงินทองเต็มบ้าน เขาเอาไปดัมพ์ใส่แม่น้ำ พระรัฐปาลอยากบวชมาก พ่อแม่ไม่ให้บวช ถ้าไม่ให้บวช ไม่ยอมกินข้าว สละตาย เอาเพื่อนมาอ้อนวอนไงเพื่อนพูดกับแม่เลย อยากเห็นหน้าลูกหรือไม่อยากเห็น ถ้าไม่อยากเห็น ลูกก็ตาย อดจนตายถ้าไม่ได้บวชถ้าอยากเห็นต้องให้บวช เอ้าให้บวชไป บวชไปแล้ว ภาวนาไปสิ้นกิเลสเห็นไหม กลับมาเยี่ยมบ้าน แม่ก็คิดว่าลูกมา ไปขนเงินมากองไว้เลย “ลูก เงินทองนี่ของแม่พ่อแม่หามาอย่างนี้ แล้วลูกจะว่ายังไง” นี่เป็นภาระไงลูกชายคนเดียวพระรัฐปาลบอกว่าเอาใส่เกวียนแล้วไปที่ริมแม่น้ำ แล้วดัมพ์ทิ้งไปเลยธรรมะในใจของพระรัฐปาลมันเลอค่ากว่ามหาศาลเลยเขาไม่มาติดหรอก ถ้ามาติดอยู่นั้นมันภาวนาไปไม่ได้ 

ถ้ามาติดอยู่อย่างนั้น ดูสิพระอะไรที่ว่าลูกเศรษฐีเหมือนกัน ไปธุดงค์ไป แล้วพอกลับมาจากเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พ่อแม่เป็นเศรษฐี พอแก่เฒ่าชราไปเห็นไหม คนใช้มันหลอกลวงมันฉ้อฉลจนกลับไปเป็นขอทาน ไปถึงทางสองแพร่งจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนหรือจะไปเยี่ยมพ่อแม่พ่อแม่เป็นขอทานอยู่นั่นถ้าไปเยี่ยมพ่อแม่ก่อนก็สึก ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนพอไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาสนทนาธรรมแล้วมันยังมีความทุกข์ตรมในหัวใจ ทุกข์ตรมในหัวใจเรื่องอะไรเพราะเรื่องพ่อแม่เป็นขอทานอยู่นั่น อยากจะสึกขาลาเพศไปรักษาพ่อแม่ 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เราเป็นสมณะ เราเป็นพระ เป็นพระเป็นผู้เห็นบุญเห็นคุณของผู้มีบุญมีคุณทางโลกสอนเขาๆ ให้พระอรหันต์ของลูกๆ แล้วทางพระทำไมมันช่วยเหลือเจือจานไม่ได้ ให้ไปเอาพ่อเอาแม่มาไว้ในวัด พระนั้นบิณฑบาตมาเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่บิณฑบาตแล้วพระโจษจันกันไปทั่วว่าพระองค์นี้ฉ้อฉลไม่เป็นธรรม ไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรรเสริญนะในเมื่อเราสอนให้เขารู้จักกตัญญูกตเวทีแล้วพระเองทำไม่ได้เหรอ พระเองไม่รู้จักมีบุญมีคุณใช่ไหมพระเกิดจากกระบอกไม้ไผ่เหรอ พระก็มีพ่อมีแม่เหมือนกัน แต่มาบวชเป็นพระเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ในชีวิตโลกก็มีพ่อมีแม่เหมือนกันไงแล้วพ่อแม่เป็นเศรษฐีนะ ไม่ใช่เป็นคนทุกข์คนจน แต่เพราะว่าตาฝ้าฟางเพราะไม่มีลูกบริหารจัดการต่อไป ทรัพย์สมบัตินั้นมันเลยโดนฉ้อโกงไปจนหมดไงฉ้อโกงไปแล้วเลยจะมาเป็นขอทานอยู่นั่นไงให้เอาพ่อแม่มาเลี้ยง มันจะผิดตรงไหน เวลาทำๆ ไปเห็นไหม นี่เพราะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนไงไม่ไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่ก่อนเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่ก่อนก็สึกไปไง 

เวลาโลก โลกเป็นอย่างนั้น ถ้าคนที่ประพฤติปฏิบัติแล้วมันเห็นคุณค่าไงเห็นคุณค่า หนึ่งพระรัฐปาล เห็นไหม เห็นคุณค่าธรรมในใจของพระรัฐปาลมีคุณค่ากว่าเงินทอง แก้วแหวนเงินทองของพ่อของแม่นั้น ถ้าพ่อแม่นั้นมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ให้พ่อแม่มีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา มันจะเป็นประโยชน์กับพ่อแม่นั้นไงเวลาพระที่พ่อแม่เป็นขอทานเห็นไหม นี่ไงสิ่งที่สมณสารูปความเป็นสมณะ ความเป็นนักบวช เรานักรบ ความเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเข้าไปต่อสู้กับกิเลสของตน โอกาสของการประพฤติปฏิบัติโอกาสของความเป็นพระมันจะหาได้ยาก 

เวลาบวชมาแล้วเห็นไหม ลาจากพ่อจากแม่มาบวชแล้วเห็นไหมเวลา ๑๖พรรษาขึ้นมาทำไมไม่พิจารณาให้มันสิ้นกิเลสไป ถ้ามันสิ้นกิเลสไม่ได้มันวิตกกังวลอยู่นั่นไง วิตกกังวลถึงบ้านวิตกกังวลถึงพ่อถึงแม่ วิตกกังวลถึงทรัพย์สมบัตินั้นไง แต่ถึงที่สุดแล้วทรัพย์สมบัตินั้นก็โดนคนใช้มันฉ้อฉลไปจนหมดไง พ่อแม่ก็กลับมาเป็นขอทานไง เวลาเสร็จแล้วก็ต้องมาบิณฑบาตเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ขึ้นมา แล้วมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันก็สำเร็จได้เหมือนกันไง แต่ถ้ามันสำเร็จมันตั้ง... อุปสรรคกิเลสตัณหาความทะยานอยากของคนมันไม่เหมือนกันนะ แต่เวลาทำไปแล้วนี่ทำเพื่อสัจจะเพื่อความจริง 

ถ้ามันเป็นแมลงผึ้งกลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมทำประโยชน์ทำคุณงามความดี พระด้วยกันยังไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระคนนี้บิณฑบาตเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ พระเป็นอย่างนี้ มาคดมาโกง มาคดโกงอะไร มันเป็นการตอบแทนบุญคุณ เพื่อมันเป็นประโยชน์ไง พอเพื่อความเป็นประโยชน์ สร้างประโยชน์มันทำไม่ได้ใช่ไหมเวลามันเหม็นเน่าเป็นวัชชีบุตรเห็นไหมเวลากหาปณะหาเงินหาทองอย่างนั้นถูกเหรอ เวลาอย่างนั้นจะว่าเป็นพระที่ดี เพราะฉ้อฉลไปกับชุมชน ชุมชนเขาเห็นคุณค่าด้วย มันจะเป็นกลิ่นเน่าเหม็น 

ถ้าเป็นกลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมมันจะเป็นคุณประโยชน์ ถ้าคุณประโยชน์เห็นไหม เราจะเป็นปลาเป็นนะปลาเป็นมันต้องว่ายทวนน้ำ นี่ก็เหมือนกัน เราบวชเป็นพระบวชเป็นพระต้องขวนขวายขวนขวายเพื่อความเป็นจริงในใจของเราความเป็นอยู่ความเป็นอยู่อยู่กับทางโลกมันขาดแคลนอะไร สิ่งใดที่มันขาดตกบกพร่องบ้างถ้าสิ่งใดที่ขาดตกบกพร่องนะถ้าเราธุดงค์ไปเราธุดงค์ไปเองเราไปแสวงหาที่เอง ถ้ามันมีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง มันก็เป็นอำนาจวาสนาบารมีของเรา 

เราธุดงค์มา เวลาครูบาอาจารย์ท่านไป เขาวัดกันบารมีไง บางองค์ไปแล้วมีคนส่งเสริมจุนเจือ เป็นประโยชน์ นั่นบอกท่านมีวาสนา บางองค์เห็นไหม ไปแล้วขาดตกบกพร่อง แล้วชุมชนนั้นเขาไม่สนใจด้วยชุมชนนั้นเขาเป็นปัญหา นั่นก็เป็นวาสนาของท่าน เวลาวิเวกไปด้วยอำนาจวาสนาของเราเห็นไหม มันเป็นการวัดอำนาจวาสนาบารมีของเรามันก็ต้องเป็นความจริงอันนั้นอะไรมันขาดตกบกพร่องก็ขาดตกบกพร่องเพราะการกระทำของเรา เราเคยทำมาอย่างนี้ ถ้าอย่างนี้แล้วเราก็พยายามทำความดีของเรา ถ้ามันทำความดีได้ถ้ามันทำความดีไม่ได้ เขาก็เก็บของไปจากที่อื่น เห็นไหมเวลาธุดงค์มาเขาธุดงค์กันมาอย่างนี้

แล้วนี่เหมือนกัน เวลาเรามาเห็นไหมเวลามาเห็นไหมเรามีครูบาอาจารย์มาหลวงตาท่านมาส่งเสริมเห็นไหม ส่งเสริมว่าท่านอยากอยากให้ภาคกลางนี่มันมีสำนักปฏิบัติที่เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาบ้าง ภาคกลางไม่มีวัดปฏิบัติเหรอเยอะแยะไปหมด แล้วมันจริงมันจังหรือไม่ โธ่ วงในเขารู้กันทั้งนั้น ข้างนอกก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่วงในกรรมฐานกรรมฐานเขารู้กันเอง นั่นเวลาท่านมาที่นี่เห็นไหม ท่านถึงส่งเสริมไง ส่งเสริมบอกว่าอยากให้มีสำนักปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นสำนักปฏิบัติที่ปฏิบัติตามความเป็นจริงในภาคกลางนี้ๆ ท่านก็พูดอยู่นั่นน่ะ 

แล้วสุดท้ายแล้วนี่สิ่งที่เรารับผิดชอบอยู่นี่ ท่านบอกว่า ในเมื่อมันมีผู้รับผิดชอบได้ ท่านก็รับที่ดินไว้ เพื่อให้เป็นสำนักปฏิบัติๆ ถ้ามันไม่มีผู้รับผิดชอบ ท่านบอกท่านไม่รับ ท่านไม่รับเพราะมันไม่มีผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบ แต่นี่เพราะมันมีผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ ท่านถึงได้รับ รับแล้วท่านให้เราดูแลพอดูแลขึ้นมามันขาดแคลนอะไร ปัจจัย ๔ขาดแคลนอะไรปัจจัยในการปฏิบัติมันขาดแคลนอะไรถ้าในการประพฤติปฏิบัติมันขาดแคลนสิ่งใด แสดงว่าเราบกพร่อง เราทำหน้าที่เราไม่สมบูรณ์ หลวงตาท่านไว้วางใจให้ทำหน้าที่ แล้วเราทำหน้าที่สิ่งนั้นไม่ได้ หลวงตาท่านให้เราเป็นคนรับผิดชอบเป็นคนให้เราดูแล ถ้าเราดูแลแล้วถ้ามันขาดตกบกพร่องแสดงว่าเรานี่เลวมาก 

แต่นี่เราดูแลรับผิดชอบอยู่มันขาดแคลนอะไรถ้ามันขาดแคลนในการสมณสารูปในการประพฤติปฏิบัติ มันขาดแคลนอะไรมันมีอะไรขาดแคลนบ้างเอ้า พูดมาเลยหรือไม่มีสิ่งใดเห็นไหม สิ่งใดที่มันไม่มี เราเองก็พยายามจุนเจือ แล้วพยายามจะส่งเสริมถ้ามันส่งเสริมในการปฏิบัติ แต่ถ้านอกจากนั้นไปมันจะเป็นกลิ่นเน่าเหม็น กลิ่นเหม็นกลิ่นทางโลก กลิ่นการชิงดีชิงชั่ว เราจะไปชิงกับใครชิงดีชิงชั่วนี่จะไปชิงกับใครทำไมต้องไปชิงกับเขา ก็เราหนีมา เราละเขามาเราวางโลกนี้ไว้เราเห็นโลกนี่เห็นไหม โลกนี้เป็นสิ่งที่ว่ามันบีบคั้นด้วยความทุกข์ทั้งนั้น โลกนี้มันมีแต่การเบียดเบียนกันมีการทำลายกันมันไม่มีโอกาสไง เราถึงได้สละสิ่งนั้นมา มาบวชเป็นพระพอบวชเป็นพระแล้วนี่เห็นไหมเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันขาดแคลนอะไร มันขาดแคลนอะไรในการประพฤติปฏิบัติ 

เวลาพูดกับโยมประจำเวลามาวัดนะขอให้เอาหัวใจมา เอาหัวใจกับเอาความเพียรมาประพฤติปฏิบัติ ขาดแต่หัวใจ เวลาปฏิบัติไปมันมีแต่ร่าง หลวงปู่มั่นบอกซากศพเดินได้ มันมีแต่ซากร่างกายนี่ไง หัวใจมันไม่อยู่ ถ้ามันเอาหัวใจมันมาไว้ในร่างกายนี้แล้วมาปฏิบัติเห็นไหม เอาหัวใจเอ็งมาแล้วตั้งใจทำเวลากับญาติโยมเรายังพูดอย่างนั้นเลยแล้วกับพระล่ะกับพระล่ะหัวใจอยู่ในร่างกายนี้ไหมหัวใจยังอยู่ในร่างกายนี้ ยังอยู่ในวัดนี้หรือไม่ หรือหัวใจมันส่งออกไปอยู่ข้างนอกหัวใจมันจะไปแข่งกับโลก มันจะไปแข่งขันกับเขาเหรอ แล้วร่างกายเราบวชเป็นพระ เรามีผ้ากาสาวพัสตร์ธงชัยพระอรหันต์นะ เวลาโยมเขาเห็นผ้าเหลืองเขายกมือไหว้นั่นน่ะแล้วเขายกมือไหว้กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมไหว้แล้วมันมีกลิ่นเหม็นหรือกลิ่นหอม กลิ่นหอม กลิ่นธรรมนะ กลิ่นธรรมกลิ่นศีลกลิ่นธรรม มันหอมทวนลม กลิ่นศีลกลิ่นธรรมที่เขาต้องการ กลิ่นศีลกลิ่นธรรมที่เขาพอใจ เขาอยากได้ 

เห็นไหมเวลาจรรโลงศาสนาก็เพื่อจะสร้างพระ สร้างพระจากภายในถ้าสร้างพระจากภายในนะมันจะมีศีลมีธรรม ถ้าสร้างพระจากภายในแล้วเวลาเป็นพระตามความเป็นจริงเห็นไหม ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป สีลัพพตปรามาส ไม่ลูบไม่คลำ วิจิกิจฉาไม่มีความลังเลไม่มีความจับผิดจับถูก ถ้ามันเป็นจริงแล้วไม่สีลัพพตปรามาส ไม่ลูบไม่คลำ จริงๆตรงๆ บริสุทธิ์ทำตามข้อเท็จจริง ไม่มีแฉลบไปแฉลบมาไม่มีย้อนหน้าย้อนหลัง ไม่มีปลิ้นปล้อน ไม่มีกะล่อน ไม่มีกะล่อนพลิกแพลง มีเบื้องหน้าเบื้องหลังมีการซ่อนเร้นเฮ่ย! เฮ่ยนี่นักปฏิบัติหรือวะ นี่หรือจากการปฏิบัติ เฮ่ย!เป็นพระเหรอเฮ่ย! พระศีล๒๒๗ นะมึง 

ถ้าเป็นพระ ถ้าเป็นพระมันก็ต้องมีศีลมีธรรม ถ้าเป็นพระมันก็ต้องจริงๆ อย่าปลิ้นปล้อน อย่ากะล่อน ความเป็นกะล่อนนั่นน่ะทางโลกนะความเป็นทางโลกก็ศีล ๕เวลาศีล ๕ ขึ้นมา มีเพื่อนๆ ก็อยู่อย่างนั้นเลยถ้าไม่มีเพื่อนไม่มีเพื่อนเพราะอะไร ถ้ามีเพื่อนล่ะ ถ้ามีเพื่อนเห็นไหม คำว่ามีเพื่อนนะ เรามีหมู่คณะ เพื่อนเป็นอย่างนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องมี ถ้าเพื่อนจะดึงเราลงต่ำ เพื่อนจะชักกันไปอย่างนั้น เราก็ไม่จำเป็นต้องมีเพื่อน อยู่กับธรรม 

เราเห็นหลวงตาตลอดโครงการช่วยชาติงานใหญ่น้อยแค่ไหนเวลาทางโลกต้องตั้งคณะกรรมการ ต้องมีคนมาช่วยเหลือ หลวงตาท่านไม่ยอมใครทั้งสิ้นเลย เวลาปรึกษา ท่านปรึกษาธรรมท่านปรึกษาสัจธรรม เดินจงกรม เรื่องสิ่งใดที่มันขาดตกบกพร่อง ท่านเข้าทางจงกรมเดี๋ยวธรรมะกล่อม เดี๋ยวธรรมะแสดงหมด แล้วท่านทำของท่านมาสำเร็จเรียบร้อยแต่คนที่เข้ามาเป็นคณะกรรมการ เข้ามาจะช่วยเหลือช่วยเหลือจริงเหรอ โครงการช่วยชาติท่านไม่ยอมตั้งให้ใครเป็นคณะกรรมการ องค์หลวงตาองค์เดียวเป็นคนคุมบัญชีทั้งหมดเงินจ่ายเข้าออกเป็นคนเซ็นอยู่คนเดียว ไว้ใจใครได้ กิเลสในใจของสัตว์โลกกิเลสร้ายนัก 

คนที่รู้จักกิเลสแล้วกลัวกิเลสมาก แล้วกิเลสไม่ใช่อยู่ในตัวเรา กิเลสมันอยู่ข้างนอกมันควบคุมไม่ได้ ในใจของเราถ้ามี มีได้เสีย หลวงตาท่านพูดประจำถ้าพูดถึงกิเลสกำลังจะฉันข้าวอยู่ ผลักบาตรทิ้งเลย ไหน!ไหน! ถ้ากิเลสใส่กิเลสก่อนถ้ามีกิเลสอยู่ต้องใส่กิเลสก่อน เอาไว้ไม่ได้ เดี๋ยวมันสร้างบ้านสร้างเรือน เดี๋ยวมันมีปัญหา ถ้าที่ไหนมีกิเลสใส่มันก่อน แต่ แต่กิเลสมันไม่ได้อยู่ในใจเรานี่กิเลสมันอยู่ในใจคนอื่น เราจะไปทำอะไรเขาไม่ได้ เราไม่มีสิทธิ์นะ 

สิทธิความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพของคนเราจะรุกรานเขาในใจเขาเหรอ แต่กิเลสในใจของเขาทำไมเขาไม่มอง กิเลสในใจของเขา เขาคิดว่าคนอื่นไม่รู้เหรอ เขารู้ทั้งนั้นแต่มันอยู่ในตัวเอง มันไม่ได้อยู่ในตัวของคนมอง แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านมีธรรม ท่านก็พยายามจะชักนำ พยายามจะน้อมนำนะน้อมนำ เลือดสุพรรณในเมื่อมาด้วยกันก็จะไปด้วยกัน แต่แต่ถ้ามันถึงที่สุดแล้ว จบเอวัง